เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพและความสวยงามของช่องปาก จะขาดเรื่อง “เหงือก” ไปไม่ได้ เพราะเป็นอีกหนึ่งอวัยวะที่ใกล้ชิดกับฟัน เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ช่วยในการบดเคี้ยว และเป็นส่วนหนึ่งของรอยยิ้ม หากปล่อยให้มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นโรคปริทันต์ เหงือกอักเสบ หรือโรคเหงือกร่น ก็อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและส่งผลต่อความมั่นใจของใครหลายๆ คน บทความนี้ทางจะพามารู้จักกับโรคเหงือกร่นว่ามีลักษณะอย่างไร และแนะนำแนวทางการรักษาอย่างการปลูกเหงือกว่ามีขั้นตอนเป็นอย่างไร
อาการเหงือกร่น คือ การที่เนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณเหงือกรอบฟันค่อยๆ ร่นลงไปจนถึงด้านล่างของฟัน ซึ่งอาจร่นไปจนเห็นรากฟัน สามารถสังเกตได้จากฟันที่ดูยาวขึ้นจากปกติ หรือมีร่องเกิดขึ้นบริเวณเหงือกกับฟัน โดยวิธีการรักษามีหลากหลาย และหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือปลูกเหงือกนั่นเอง
เกิดจากสาเหตุหลักๆ เช่น การสะสมของแบคทีเรียและหินปูนที่สร้างความเสียหายบริเวณเนื้อเยื่อเหงือก อายุที่เพิ่มมากขึ้น พฤติกรรมการนอนกัดฟัน หรือการเกิดอุบัติเหตุกระแทกอย่างแรงบางอย่าง เป็นไปตามกาลเวลาที่เหงือกจะเริ่มเสื่อมสภาพไปพร้อมๆ กับอวัยวะในร่างกาย
เมื่อเริ่มมีปัญหา ผู้ป่วยสามารถติดตาม และสังเกตอาการคร่าวๆ ได้ดังต่อไปนี้
• รู้สึกเสียวฟันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะขณะที่กำลังรับประทานอาหาร
• มีเลือดออกตามไรฟัน หรือขณะกำลังขัดฟัน
• เวลาแปรงฟันอาจรู้สึกเจ็บ หรือมีเลือดออก
• ฟันโยก
• มีกลิ่นปาก
• รู้สึกว่าฟันดูยาวขึ้น และเหงือกดูสั้นลง
• ปวดฟัน เหงือกบวม เจ็บเหงือก
วิธีการป้องกันในเบื้องต้นทำได้โดยการแปรงฟันให้ถูกวิธี เลือกใช้แปรงสีฟันที่ได้มาตรฐาน พร้อมใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันร่วมด้วย และควรเข้าตรวจสภาพช่องปากและฟันกับทันตแพทย์อยู่เสมอ สำหรับคนไข้จัดฟัน มักมีเศษอาหารติดตามเหล็กดัดฟัน และพบปัญหาคราบหินปูนสะสมมากกว่าคนทั่วไป กรณีนี้แนะนำให้ใช้แปรงสีฟันแบบพิเศษที่ทำความสะอาดลึกได้ถึงซอกฟันอย่าง แปรงซอกฟัน หรือ Interdental blush ร่วมด้วย สุดท้ายแล้วหากไม่สามารถป้องกันได้ดีพอ ก็จะต้องทำการรักษาต่อไป โดยการปลูกเหงือกนั่นเอง
โดยธรรมชาติแล้ว หากเหงือกเพิ่งเริ่มมีปัญหาแรกๆ จะยังสามารถฟื้นฟูสภาพขึ้นมาได้จากการดูแลรักษาสุขภาพในช่องปาก แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคแล้วนั้น ต้องรักษาด้วยวิธีการปลูกเหงือก ซึ่งเป็นการปลูกถ่ายเหงือกมาปิดเหงือกส่วนที่ร่นออกมา ช่วยปิดรากฟันและยับยั้งอาการไม่ให้รุนแรงขึ้น ยับยั้งการเสียกระดูก รวมถึงเป็นการปรับช่องปากให้สวยงามตามต้องการ
นอกจากนั้น ในการรักษายังต้องใช้ไหมขัดฟัน (Interdental floss) กับแปรงซอกฟัน (Interdental blush) ในการทำความสะอาดช่องปากให้ครบทุกซอกทุกมุมตามคำแนะนำของแพทย์ด้วย
การปลูกเหงือก หรือการทำศัลยกรรมการปลูกถ่ายเหงือก แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ซึ่งทันตแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยอาการ และวิธีการปลูกถ่ายเหงือก ว่าสมควรทำการปลูกถ่ายเหงือกด้วยวิธีใด โดยจะประเมินจากระดับอาการ และความเหมาะสมรายบุคคล
การปลูกเหงือกวิธีนี้เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ทันตแพทย์จะใช้วิธีตัดชิ้นเนื้อใต้เพดานปากออกมา แล้วนำมายึดกับเหงือกส่วนที่มีปัญหา จากนั้นเย็บปิดปากแผลบริเวณเพดานปากให้สนิท
วิธีนี้จะคล้ายกับการปลูกเหงือกวิธีแรก ทันตแพทย์จะใช้เนื้อเยื่อจากเพดานปากมาติดเข้ากับเหงือกแทน ซึ่งวิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหงือกบาง เมื่อติดลงไปแล้วเหงือกจะดูหนามากขึ้น
การปลูกเหงือกวิธีนี้ทันตแพทย์จะไม่ได้ตัดชิ้นเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ในช่องปากมา แต่จะใช้เนื้อเยื่อด้านข้างของเหงือกมาแทน โดยจะเหลือเนื้อเยื่อส่วนฐานให้ติดอยู่ตามเดิม จากนั้นนำเนื้อเยื่อนั้นมาหุ้มรอบฟันในแต่ละซี่ที่พบปัญหา
การปลูกเหงือกโดยปกติจะใช้เวลารักษาเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งระยะเวลาการรักษาจะขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละคน และใช้เวลารักษาตัวหลังปลูกถ่ายเหงือกประมาณ 1-2 สัปดาห์ ในระหว่างที่ฟื้นตัวจะต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันด้วย ดังนี้
• หากหลังปลูกถ่ายเหงือก มีอาการเจ็บ หรือปวดบริเวณแผล ให้ทานยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวด
• ควรรับประทานอาหารอ่อน และเคี้ยวเบาๆ ให้ละเอียด เช่น ข้าวต้ม ผักต้ม ไข่ต้ม นม โยเกิร์ต
• หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด อาหารร้อนจัด
หรืออาหารที่เย็นจัด เนื่องจากสภาพเหงือกยังไม่แข็งแรงเหมือนปกติ
• สามารถแปรงฟันได้ แต่ให้ระมัดระวังบริเวณใกล้กับแผล โดยให้แปรงเบาๆ เท่านั้น
• ทานยาตามที่แพทย์แนะนำให้ครบตามกำหนด และพักผ่อนให้เพียงพอ
ผ่าตัดปลูกถ่ายเหงือกที่ไหนดี ราคาเท่าไหร่ เป็นอีกคำถามคาใจของใครหลายคน ต้องบอกก่อนว่าการปลูกถ่ายเหงือกต้องมีการตัด หรือหุ้มเนื้อเยื่อ จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดแผลติดเชื้อ ดังนั้น ควรเลือกคลินิกที่มีมาตรฐาน พร้อมทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ สำหรับผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าควรปลูกเหงือกที่ไหนดี ขอแนะนำ PLUS Dental Clinic เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี เพราะให้บริการอย่างใส่ใจ พร้อมเครื่องมือที่มีคุณภาพ และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาที่เกี่ยวกับช่องปากและฟัน โดยค่าใช้จ่ายการปลูกเหงือก ราคาตำแหน่งซี่ละ 6,000 บาท
สำหรับคำถามที่หลายๆ คนยังสงสัยอยู่ วันนี้ทาง PLUS Dental Clinic รวบรวม Q&A ยอดฮิตเกี่ยวกับการปลูกเหงือกไว้แล้ว
ระยะเวลาการรักษาประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยสามารถหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์
ไม่เจ็บ เนื่องจากระหว่างการผ่าตัดจะมีการฉีดยาชา แต่หลังจากการรักษา อาจมีอาการเจ็บ ให้ทานพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวด
มีโอกาสสำเร็จประมาณ 50% ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล บางคนอาจปลูกแล้วไม่ได้ผลทั้งหมดในครั้งแรก ต้องลองปลูกเหงือกถึงสองครั้งถึงจะสำเร็จ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม วิธีการปลูกเหงือกก็ยังเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม เนื่องจากสามารถช่วยแก้ปัญหาให้หายขาดได้
ให้ผู้ป่วยสังเกตอาการของตนเอง ว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่ เช่น เลือดไหลไม่หยุด เหงือกมีอาการบวม ช้ำอย่างรุนแรง หรือเกิดหนองบริเวณแผลผ่าตัด หากมีอาการดังกล่าว ให้พบแพทย์ทันที
ข้อดีในการปลูกเหงือก คือ ช่วยรักษาอาการเสียวฟัน เนื่องจากเป็นการรักษา เพื่อปิดร่อง หรือช่องวางที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเสียวฟันน้อยลง กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และยิ้มได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง ทั้งนี้ ความสำเร็จของการรักษาอาจขึ้นอยู่กับตัวบุคคล อาจไม่ได้สำเร็จได้ในครั้งเดียว แต่ต้องทำถึงสองครั้ง เป็นต้น
การปลูกเหงือกนั้น นอกจากจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งทางออกที่ช่วยรักษาอาการเหงือกร่นให้หายขาดได้อีกด้วย ที่สำคัญยังทำให้สุขภาพช่องปากและฟันกลับมาแข็งแรงและสวยงามได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นอีกในอนาคต ควรดูแลสุขภาพฟันด้วยการแปรงฟันให้สะอาด ใช้แปรงสีฟันที่ได้มาตรฐาน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรค และเข้ารับการตรวจสุขภาพฟันกับทันตแพทย์เป็นประจำทุกๆ 6 เดือนจึงจะดีที่สุด